พลาสติกคืออะไร ?

พลาสติก (Plastic)  สังเคราะห์ขึ้นจากสารประกอบอินทรีย์  สามารถหลอมขึ้นรูปเป็นของแข็งรูปทรงต่างๆ ได้ง่าย พลาสติกได้มีการนำมาใช้หลากหลายรูปแบบ เช่น ถุงพลาสติก ขวดน้ำ ภาชนะ บรรจุภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนรถยนต์ ท่อประปา เป็นต้น

 

ประเภทของพลาสติก

พลาสติกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามคุณสมบัติการใช้งานและกระบวนการผลิต:

  1. เทอร์มอพลาสติก (Thermoplastics)

    • พลาสติกที่สามารถหลอมและขึ้นรูปใหม่ได้หลายครั้งเมื่อได้รับความร้อน
    • ตัวอย่าง:
      • PE (Polyethylene): ใช้ทำถุงพลาสติก, ขวดน้ำ
      • PP (Polypropylene): ใช้ทำกล่องใส่อาหาร, ฝาขวด
      • PVC (Polyvinyl Chloride): ใช้ทำท่อน้ำ, สายไฟ
      • PET (Polyethylene Terephthalate): ใช้ทำขวดเครื่องดื่ม, เส้นใยผ้า
  2. เทอร์โมเซ็ต (Thermosets)

    • พลาสติกที่เมื่อขึ้นรูปแล้วจะไม่สามารถหลอมกลับมาใช้ใหม่ได้
    • ตัวอย่าง:
      • Epoxy Resin: ใช้ในงานเคลือบและกาว
      • Phenolic Resin: ใช้ทำฉนวนไฟฟ้า
 

คุณสมบัติเด่นของพลาสติก

 
  • น้ำหนักเบา: เหมาะกับงานที่ต้องการความคล่องตัว
  • ต้นทุนต่ำ: ผลิตในปริมาณมากได้ในราคาถูก
  • ทนทาน: กันน้ำ ทนต่อสารเคมี และบางชนิดทนความร้อน
  • ยืดหยุ่น: สามารถออกแบบให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ง่าย

ข้อเสียของพลาสติก

  1. มลภาวะจากพลาสติก:

    • พลาสติกที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมจะสะสมเป็นขยะในธรรมชาติ
    • ใช้เวลาย่อยสลายนานหลายร้อยปี
  2. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม:

    • การผลิตพลาสติกใช้พลังงานและทรัพยากรมาก
    • การเผาพลาสติกปล่อยสารพิษสู่บรรยากาศ

การจัดการพลาสติกอย่างยั่งยืน

  1. การรีไซเคิล:

    • แยกขยะพลาสติกตามประเภท เช่น PET, HDPE เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล
    • ตัวอย่าง: ขวดน้ำ PET สามารถแปรรูปเป็นเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้า
  2. การใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ (Biodegradable Plastic):

    • เช่น PLA (Polylactic Acid) ซึ่งผลิตจากพืชและย่อยสลายได้เร็วกว่า
  3. ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastics):

    • เช่น หลอด, ถุงพลาสติก โดยหันมาใช้วัสดุทดแทน เช่น ถุงผ้า, หลอดโลหะ