ความแตกต่างระหว่าง ขวดปั๊ม ขวดบีบ หลอดบีบ และกระปุกครีม มีทั้งในด้าน การใช้งาน ความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์ ความสะดวก และภาพลักษณ์ของแบรนด์ ดังนี้:
ในกระบวนการผลิตและจัดจำหน่ายยา “บรรจุภัณฑ์” ไม่ใช่เพียงแค่ภาชนะบรรจุ แต่มีบทบาทสำคัญในการ คงคุณภาพของตัวยา, ป้องกันการเสื่อมสภาพ, และ รักษาความปลอดภัยของผู้บริโภค
การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับชนิดของยา จึงเป็นเรื่องที่ ไม่ควรมองข้าม โดยต้องคำนึงถึงลักษณะทางกายภาพของยา, ความไวต่อสิ่งแวดล้อม, ความสะดวกในการใช้ และข้อกำหนดด้านกฎหมาย
บทความนี้จะสรุปประเภทของยา และบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมแต่ละชนิด ดังนี้:
ลักษณะ: เป็นของเหลว อาจไวต่อแสง อากาศ หรือเชื้อจุลินทรีย์
บรรจุภัณฑ์ที่แนะนำ:
ลักษณะ: ไวต่อความชื้นและออกซิเจน บางชนิดต้องปกป้องจากแสง
บรรจุภัณฑ์ที่แนะนำ:
ลักษณะ: ต้องปลอดเชื้อ 100% ห้ามมีการปนเปื้อนใด ๆ
บรรจุภัณฑ์ที่แนะนำ:
ลักษณะ: ต้องปลอดเชื้อ ใช้งานกับอวัยวะที่บอบบาง
บรรจุภัณฑ์ที่แนะนำ:
ลักษณะ: ต้องการความสะอาด ป้องกันการสัมผัสซ้ำ และควบคุมปริมาณ
บรรจุภัณฑ์ที่แนะนำ:
ลักษณะ: มักไวต่อความชื้น อุณหภูมิ และอากาศ
บรรจุภัณฑ์ที่แนะนำ:
ลักษณะ: ต้องป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ตั้งใจ เช่น เด็ก
บรรจุภัณฑ์ที่แนะนำ:
การเลือกบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะกับชนิดของยา คือการปกป้องทั้งคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และความปลอดภัยของผู้บริโภค
หากเลือกผิด นอกจากทำให้ยาเสื่อมคุณภาพเร็วแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการใช้งานผิดพลาด ควรพิจารณา:
เคยไหม…ออกแบบงานในคอม สีสวย สด วิ้ง!
แต่พอสั่งพิมพ์ออกมา…อ้าว! ทำไมดูหม่น ดูหมอง ดูไม่เหมือนเดิมเลย!?
ไม่ใช่เครื่องพิมพ์เสีย ไม่ใช่ไฟล์พัง แต่เป็นเรื่องของ “ระบบสี” และ “การมองเห็น” ที่เราอาจไม่ทันนึกถึงมาก่อน ลองมาดูเหตุผลแบบง่าย ๆ ที่ทำให้สีบนหน้าจอกับสีที่พิมพ์ออกมา “ไม่ตรงกันเป๊ะ”
บนหน้าจอเราใช้ระบบ RGB (Red, Green, Blue) ซึ่งเป็นแสงที่ผสมกันให้เกิดสี → สีจะดูสด ใส สว่าง มีชีวิตชีวา
แต่งานพิมพ์ใช้ระบบ CMYK (Cyan, Magenta, Yellow, Black) ซึ่งคือการผสม “หมึก” ลงบน “กระดาษ” → สีอาจดูหม่นลง หรือเพี้ยนเล็กน้อย
พูดง่าย ๆ คือ
“RGB เหมือนการเปิดไฟฉาย 3 สีรวมกัน ส่วน CMYK เหมือนผสมสีน้ำบนพู่กัน”
จอคอม จอโน้ตบุ๊ก หรือจอมือถือของแต่ละคน
ความสว่าง ความเข้ม หรือการตั้งค่าต่างกันหมด
บางคนจอเยอะสี บางคนจออมฟ้า บางคนจอซีด
พอเราออกแบบงานบนจอแบบหนึ่ง แต่ไปดูในจออีกแบบ หรือพิมพ์ออกมา สีจึงไม่ตรงใจ
เครื่องพิมพ์แต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์ ใช้หมึกและเทคโนโลยีไม่เหมือนกัน
กระดาษก็มีผล! กระดาษขาว กระดาษอาร์ต กระดาษคราฟต์… แต่ละแบบ “ดูดสี” และ “สะท้อนสี” ต่างกัน
กระดาษดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่เลือกไม่เหมาะก็ทำให้ภาพฝันกลายเป็นความผิดหวังได้
ถ้ารู้ว่าจะ “พิมพ์งาน” → ให้ตั้งค่าโหมดสีเป็น CMYK ตั้งแต่เริ่มออกแบบ
หลีกเลี่ยงการใช้สีเรืองแสงหรือสีสดเว่อที่ CMYK ทำไม่ได้
หากเป็นงานใหญ่ แนะนำให้พิมพ์ “ปรู๊ฟสี” ก่อน เพื่อเช็กว่าสีที่ได้ตรงกับใจไหม
หรือถ้าจะให้ชัวร์ → ส่งไฟล์ให้โรงพิมพ์หรือโรงงานบรรจุภัณฑ์ช่วยเช็กก่อนผลิตจริง
ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “ความสดใหม่” และ “ความปลอดภัย” ของอาหาร บรรจุภัณฑ์จึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ไม่ใช่แค่ห่อหุ้มสินค้า แต่ยังทำหน้าที่ยืดอายุการเก็บรักษา ป้องกันการปนเปื้อน และเสริมภาพลักษณ์สินค้าในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ ประเภทของบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อช่วยยืดอายุอาหาร พร้อมแนะนำแนวทางการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสินค้าและธุรกิจของคุณ
เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ดูดเอาอากาศภายในออกก่อนปิดผนึก เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่ไวต่อการเกิดออกซิเดชัน เช่น เนื้อสัตว์แปรรูป ผลไม้แห้ง หรืออาหารพร้อมรับประทาน
ข้อดี:
เป็นเทคโนโลยีการบรรจุที่ปรับสัดส่วนก๊าซภายในถุง เช่น การเติมไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อชะลอกระบวนการเน่าเสีย เหมาะสำหรับของสด เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และขนมอบ
ข้อดี:
เหมาะสำหรับสินค้าที่ไวต่อแสงและความชื้น เช่น ขนมอบ ผงปรุงรส กาแฟ หรือช็อกโกแลต บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้มักใช้วัสดุหลายชั้น เช่น อลูมิเนียมฟอยล์ หรือพลาสติกเคลือบเฉพาะ
ข้อดี:
เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ความร้อนในการปิดผนึก โดยมักใช้กับพลาสติกฟิล์ม ซอง หรือถุง เพื่อป้องกันอากาศและสิ่งปนเปื้อน
ข้อดี:
เหมาะสำหรับอาหารแห้ง เช่น ถั่ว ผลไม้อบแห้ง หรือขนมที่ต้องการเก็บรักษาในระยะยาว สารดูดซับออกซิเจนจะทำหน้าที่ลดปริมาณออกซิเจนในถุงให้ต่ำจนไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์
ข้อดี:
การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุอาหาร ควรพิจารณาจากปัจจัยดังนี้:
ในยุคที่ผู้บริโภคใส่ใจเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยมากขึ้นทุกวัน บรรจุภัณฑ์อาหารไม่ใช่แค่สิ่งที่ใช้ห่อหุ้มสินค้า แต่คือสิ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารโดยตรง
ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์อย่างรอบคอบ และนี่คือสิ่งสำคัญที่คุณควรตรวจสอบก่อนเลือกใช้บรรจุภัณฑ์อาหารทุกครั้ง
แล้วเราควร “ดูอะไร” ก่อนเลือกบรรจุภัณฑ์อาหาร?
วัสดุที่ใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ต้องไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและต้องสามารถสัมผัสอาหารได้โดยตรงอย่างปลอดภัย
การเลือกใช้วัสดุ Food Grade เป็นหลักประกันว่าไม่มีสารเคมีอันตราย เช่น สารก่อมะเร็ง โลหะหนัก หรือสารพลาสติกอันตราย (เช่น BPA) เจือปนสู่อาหารที่บรรจุ
วัสดุที่นิยมและปลอดภัยในการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหาร ได้แก่:
ควรมองหาสัญลักษณ์หรือใบรับรอง Food Contact Safe บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของสินค้า
อาหารแต่ละประเภทต้องการบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องของอุณหภูมิ
การใช้บรรจุภัณฑ์ผิดประเภท อาจทำให้เกิดการละลาย การเสียรูป หรือแม้กระทั่งการปล่อยสารเคมีเมื่อสัมผัสกับความร้อนหรือเย็นจัด
ตัวอย่างการเลือกใช้:
การเลือกให้เหมาะกับอุณหภูมิการใช้งาน จะช่วยคงคุณภาพอาหารและลดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
บรรจุภัณฑ์อาหารที่ดีต้องไม่มี “กลิ่น” และ “รส” ของวัสดุไปปนเปื้อนกับอาหารที่บรรจุอยู่ภายใน
วัสดุบางชนิดที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจมีกลิ่นของพลาสติก หรือปล่อยสารที่มีผลต่อรสชาติอาหารโดยตรง ทำให้อาหารเสียรสชาติ และลดความน่ารับประทานลง
ในทางกลับกัน บรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานจะมีคุณสมบัติเป็นกลาง ไม่ดูดกลิ่น ไม่ดูดความชื้น และไม่ปล่อยกลิ่นออกมา
จึงช่วยรักษารสชาติและความสดใหม่ของอาหารได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับทั้งอาหารพร้อมทาน เบเกอรี่ หรืออาหารแช่แข็ง
“แพ็คเกจ” ไม่ใช่แค่เปลือก แต่คือประสบการณ์แรกที่ลูกค้าจะรู้สึกกับแบรนด์ของคุณ
ไม่ว่าคุณจะเป็นแบรนด์เจ้าของผลิตภัณฑ์ ความงาม หรือเป็นสายบิวตี้ที่สนใจเรื่องแพ็คเกจ วันนี้เราจะพาคุณมารู้จัก ประเภทของบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่พบได้บ่อย พร้อมข้อดี-ข้อเสีย และแนวทางการเลือกใช้ให้เหมาะกับผลิตภัณฑ์ของคุณ
เหมาะกับผลิตภัณฑ์เนื้อเหลว เช่น โลชั่น เซรั่ม น้ำตบ แชมพู
เหมาะสำหรับเจล ครีม โฟมล้างหน้า หรือบีบีครีม
เหมาะสำหรับครีมเข้มข้น มาส์ก หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับไม้พาย
เหมาะกับเมคอัพ เช่น แป้งพัฟ คุชชั่น บลัชออน
ใช้กับขนาดทดลอง หรือสินค้าแบบใช้ครั้งเดียว
เลือกจากลักษณะของผลิตภัณฑ์: เหลว, เจล, ครีม, แห้ง ฯลฯ
คิดถึงประสบการณ์ของผู้ใช้: ใช้ง่าย พกพาสะดวกไหม?
พิจารณาภาพลักษณ์ของแบรนด์: พรีเมียม, มินิมอล, สายธรรมชาติ
อย่าลืมเรื่องสิ่งแวดล้อม: รีไซเคิลได้ไหม? ย่อยสลายง่ายหรือเปล่า?
ภาพแตก ภาพเบลอ โลโก้ไม่ชัด—ปัญหาคลาสสิกที่หลายคนต้องเคยเจอเมื่อนำไฟล์ภาพไปพิมพ์ลงบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นกล่องสินค้า ขวด ครีม ซอง หรือสติ๊กเกอร์ ฉลากสินค้า
คำถามคือ… จะปรับขนาดภาพอย่างไรให้ยังคงความคมชัดระดับมืออาชีพ?
ในบทความนี้ เรา [ชื่อบริษัทคุณ] ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและพิมพ์บรรจุภัณฑ์ครบวงจร มีคำตอบให้คุณแบบเข้าใจง่าย พร้อมเคล็ดลับที่คุณหรือทีมออกแบบของคุณสามารถนำไปใช้ได้ทันที!
ภาพทุกภาพมีหน่วยความละเอียดเรียกว่า DPI (Dots Per Inch)
สำหรับงานพิมพ์ ต้องใช้ อย่างน้อย 300 DPI
ภาพจากอินเทอร์เน็ตมักมีแค่ 72 DPI เท่านั้น ซึ่งเหมาะแค่กับการแสดงผลบนหน้าจอ ไม่ใช่การพิมพ์
Tip: ก่อนส่งไฟล์ให้โรงพิมพ์ ควรตรวจสอบว่าไฟล์คุณมี DPI เพียงพอหรือไม่
ไฟล์ .AI / .EPS / .SVG / .PDF คือไฟล์เวกเตอร์ที่ขยายเท่าไรก็ไม่แตก
เหมาะกับโลโก้ ไอคอน หรือข้อความที่ต้องการความคมชัดสูง
แตกต่างจากไฟล์ .JPG หรือ .PNG ที่มีขนาดจำกัด
หากคุณมีแค่โลโก้ที่แคปมาจากหน้าจอ เราสามารถ รีดีไซน์ให้เป็นเวกเตอร์ ได้ พร้อมปรับขนาดให้พร้อมพิมพ์ทุกสื่อ
หากคุณต้องใช้ไฟล์ภาพ (เช่น ภาพสินค้า ภาพประกอบ) ให้ใช้วิธีต่อไปนี้:
เริ่มจากภาพที่มีขนาดใหญ่กว่า 2000 px ขึ้นไป
ขยายด้วยโปรแกรมที่รักษาคุณภาพ เช่น Photoshop โดยเลือกฟังก์ชัน Preserve Details 2.0
หลีกเลี่ยงการขยายใน PowerPoint หรือ Paint เพราะจะทำให้แตกทันที
ก่อนสั่งพิมพ์ควรดูว่า:
ขนาดของบรรจุภัณฑ์จริง คือกี่เซนติเมตร/นิ้ว
ภาพของคุณมีขนาดพิกเซลพอไหม (เช่น พิมพ์กว้าง 10 ซม. ควรมีความกว้างอย่างน้อย 1181 px ที่ 300 DPI)
หากคุณไม่แน่ใจว่าจะปรับไฟล์ยังไงดี? ไม่อยากให้โลโก้แตก? ไม่อยากให้สีเพี้ยน?
ทีมออกแบบของเรา INNOTREND ยินดีให้คำปรึกษาฟรี พร้อมปรับไฟล์ให้เหมาะสมกับทุกงานพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็น…
กล่องบรรจุภัณฑ์
ขวดบีบ ขวดปั๊ม
ฉลากสินค้า
สติ๊กเกอร์ติดขวด ฯลฯ
ในอุตสาหกรรมยา ความปลอดภัยและความคงตัวของผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อคุณภาพยาก็คือ “บรรจุภัณฑ์” เพราะหากเลือกวัสดุหรือดีไซน์ไม่เหมาะสม อาจทำให้ตัวยาเสื่อมคุณภาพเร็ว เกิดการปนเปื้อน หรือกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภคโดยตรง
ดังนั้น บรรจุภัณฑ์ยาที่ดี ต้องผ่านมาตรฐานทั้งด้านฟังก์ชันการใช้งาน และข้อกำหนดจากหน่วยงานกำกับดูแล บทความนี้จะพาไปดูว่า มาตรฐานของบรรจุภัณฑ์ยาที่ดีควรประกอบด้วยอะไรบ้าง
บรรจุภัณฑ์ต้องทำจากวัสดุที่ไม่มีสารอันตรายปนเปื้อน เช่น สารโลหะหนัก พลาสติไซเซอร์ หรือสีที่ไม่ได้มาตรฐาน และต้องไม่ทำปฏิกิริยากับตัวยา
ต้องได้รับรองตามมาตรฐานสากล เช่น
USP (United States Pharmacopeia)
EU Pharmacopeia
FDA (Food and Drug Administration)
หรือ มอก. (มาตรฐานอุตสาหกรรมไทย)
ตัวยาหลายชนิดไวต่อความชื้น แสง UV หรือออกซิเจน บรรจุภัณฑ์จึงต้องสามารถป้องกันการเสื่อมสภาพได้ เช่น
ขวดแก้ว/ขวด PET สีชา สำหรับยาน้ำที่ไวต่อแสง
บรรจุภัณฑ์หลายชั้น (multi-layer) สำหรับยาเม็ด
ฟอยล์ปิดผนึกที่แน่นหนา กันความชื้นเข้า
ระบบปิดผนึกของบรรจุภัณฑ์ต้องแน่นหนา ไม่มีการรั่วซึม ทั้งในช่วงการขนส่ง การจัดเก็บ และระหว่างใช้งานของผู้บริโภค เช่น
ฝาเกลียวกันเด็กเปิด (Child-Resistant Cap)
ซีลอลูมิเนียมหรือฟอยล์
เทคโนโลยี Induction Seal บนฝาขวด
บรรจุภัณฑ์สำหรับยาโดยเฉพาะยาฉีด ยาหยอดตา หรือผลิตภัณฑ์ปลอดเชื้อ ต้องผ่านกระบวนการผลิตที่ควบคุมความสะอาด เช่น
ห้อง Cleanroom ระดับ Class 100,000 หรือตาม GMP
การฆ่าเชื้อด้วยรังสี (Gamma Sterilization)
การบรรจุแบบไม่สัมผัส (Aseptic Packaging)
บรรจุภัณฑ์ยาที่ดีต้องใช้งานง่าย ปลอดภัย และลดความผิดพลาดของผู้บริโภค เช่น
หลอดหยดที่ควบคุมปริมาณได้
ฝาขวดที่เปิด-ปิดสะดวก
มีการพิมพ์ Lot, Exp. ชัดเจน
พร้อมฉลากอ่านง่าย กันน้ำ
ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เข้ากันได้กับเครื่องจักรอัตโนมัติหรือไลน์การผลิต เพื่อให้บรรจุได้รวดเร็วและปลอดภัย เช่น
ขวดขนาดมาตรฐานที่เครื่องสามารถจับและปิดฝาอัตโนมัติ
วัสดุที่ไม่เกิดฝุ่น ไม่ไฟฟ้าสถิต
รองรับการซีลความร้อนหรือเครื่องอินดักชัน
บรรจุภัณฑ์ยาที่ดีไม่ใช่แค่ “สวย” หรือ “ราคาประหยัด” แต่ต้องผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัย ป้องกันการเสื่อมสภาพของตัวยา และเป็นมิตรต่อกระบวนการผลิต
การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมคือการลงทุนเพื่อคุณภาพสินค้า ความเชื่อมั่นของแบรนด์ และความปลอดภัยของผู้บริโภค
หากคุณกำลังมองหาขวด กระปุก หลอด หรือฝาบรรจุภัณฑ์ยาคุณภาพสูงที่ผ่านมาตรฐานระดับสากล ทีมงานของเราพร้อมให้คำแนะนำ
ม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้า บรรจุภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอาง หรือสินค้าอุตสาหกรรม
“ระบบการพิมพ์” คือหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ที่ส่งผลต่อ คุณภาพ ความรู้สึกของแบรนด์ และ การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ในปัจจุบัน ระบบการพิมพ์ที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์มีหลายประเภท แต่ที่ถูกเลือกใช้มากที่สุด มี 3 แบบหลัก ๆ ได้แก่
การพิมพ์ระบบออฟเซต (Offset)
การพิมพ์ระบบเฟล็กโซ (Flexo)
การพิมพ์ระบบซิลค์สกรีน (Silkscreen)
มาดูกันว่าทั้ง 3 ระบบนี้ ต่างกันอย่างไร เหมาะกับสินค้าประเภทไหน และระบบไหนเหมาะกับคุณที่สุด?
1. ระบบพิมพ์ออฟเซต (Offset Printing)
เหมาะกับ: งานพิมพ์คุณภาพสูง จำนวนมาก เช่น กล่องสินค้า premium, ปกนิตยสาร, โบรชัวร์, กล่องกระดาษแข็ง
วัสดุรองรับ: กระดาษอาร์ตการ์ด, กระดาษลูกฟูกเคลือบผิว, แพคเกจจิ้งกระดาษทั่วไป
หลักการทำงาน:
การพิมพ์ออฟเซตใช้แผ่นเพลทอลูมิเนียมถ่ายทอดภาพลงบนแผ่นยาง แล้วจึงถ่ายทอดลงบนพื้นผิววัสดุอีกทีหนึ่ง จุดเด่นคือความแม่นยำสูง สีตรง และรายละเอียดชัดเจนมาก
ข้อดีเด่นของระบบออฟเซต:
ภาพพิมพ์คมชัดมาก เหมาะกับงานที่ต้องการภาพละเอียด เช่น ภาพถ่ายหรือกราฟิกดีไซน์
ควบคุมสีได้แม่นยำ สม่ำเสมอทุกแผ่น
คุ้มค่ามากเมื่อผลิตในปริมาณมาก
เหมาะกับการพิมพ์ CMYK และ Spot Color ที่ต้องการความเป๊ะ
ข้อควรพิจารณา:
มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง (เพราะต้องทำเพลทพิมพ์)
ไม่เหมาะกับงานจำนวนน้อยหรือวัสดุที่ไม่เรียบ เช่น พลาสติกหรือฟิล์ม
2. ระบบพิมพ์เฟล็กโซ (Flexographic Printing)
เหมาะกับ: บรรจุภัณฑ์ประเภทฟิล์มพลาสติก, ถุงซอง, ขวด, ฉลากสินค้า, กระดาษลูกฟูก
วัสดุรองรับ: ฟิล์ม PE, PET, OPP, กระดาษคราฟท์, พลาสติกยืดหยุ่น, กระดาษลูกฟูก
หลักการทำงาน:
ใช้แผ่นเพลทยางนูนที่หมุนบนลูกกลิ้ง ทำให้สามารถพิมพ์ต่อเนื่องด้วยความเร็วสูง รองรับวัสดุได้หลากหลายโดยเฉพาะวัสดุที่ไม่สามารถใช้ระบบออฟเซตได้
ข้อดีเด่นของระบบเฟล็กโซ:
พิมพ์บนพื้นผิวโค้ง/ไม่เรียบได้ เช่น ฉลากขวด หรือฟิล์มห่อขนม
ผลิตได้รวดเร็ว เหมาะกับการผลิตจำนวนมาก
รองรับหมึกแบบพิเศษ เช่น หมึก UV, หมึกกันน้ำ
ต้นทุนเฉลี่ยต่อชิ้นต่ำมากเมื่อผลิตจำนวนมาก
ข้อควรพิจารณา:
ความละเอียดต่ำกว่าระบบออฟเซต (แต่มากพอสำหรับงานทั่วไป)
ต้องลงทุนทำเพลทยางในทุกแบบการพิมพ์
3. ระบบพิมพ์ซิลค์สกรีน (Silkscreen Printing)
เหมาะกับ: งานพิมพ์บนวัสดุเฉพาะ งานแฮนด์เมด หรือสินค้าที่มีจำนวนไม่มาก
วัสดุรองรับ: ขวดพลาสติก, กระปุก, แก้ว, ถุงผ้า, โลหะ, ไม้, อะคริลิก
หลักการทำงาน:
ใช้บล็อกสกรีนลักษณะเป็นผ้าตาข่าย เพื่อปาดสีลงบนพื้นผิวทีละชิ้น มีความยืดหยุ่นในการพิมพ์บนวัสดุรูปทรงแปลก เช่น ขวดโค้ง กระปุก และวัสดุแข็ง
ข้อดีเด่นของระบบซิลค์สกรีน:
สีสันสดและหนาแน่น เห็นความลึกของหมึกพิมพ์ได้ชัด
พิมพ์บนวัสดุที่เครื่องอื่นทำไม่ได้ เช่น ขวด PET, กระปุก PVC
คุ้มค่าหากผลิตในจำนวนน้อยและต้องการคุณภาพสัมผัส
เหมาะกับการสร้างความรู้สึก “แฮนด์เมด” และ “ยูนีค”
ข้อควรพิจารณา:
ไม่เหมาะกับงานพิมพ์หลายสีหรือจำนวนมาก
ความเร็วในการผลิตต่ำกว่าระบบอื่น
ระบบพิมพ์ | เหมาะกับวัสดุ | จุดเด่น | เหมาะกับใคร? |
---|---|---|---|
Offset | กระดาษเรียบ | ภาพสวย สีตรง | แบรนด์ที่ต้องการความพรีเมียม |
Flexo | ฟิล์ม, พลาสติก | เร็ว คุ้ม พิมพ์ได้เยอะ | สินค้า Fast Moving |
Silkscreen | ขวด, กระปุก, ถุงผ้า | สีสด หนา พิมพ์เฉพาะจุด | สินค้ายูนีคหรือปริมาณน้อย |